“รฟท.” เปิด 4 รายชื่อบิ๊กเนมเอกชนชิงประมูลสร้างรถไฟทางคู่ เฟส 2 ขอนแก่น – หนองคาย มูลค่า 28,719 ล้าน
วันนี้ (21 ส.ค.2567) นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ระบุว่า ตามที่ รฟท. ได้ออกประกาศเชิญชวน และจำหน่วยเอกสารประกวดราคาจ้างในระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-bidding) งานโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ช่วงขอนแก่น – หนองคาย ตามประกาศ รฟท. ลงวันที่ 21 มิ.ย.2567 โดยกำหนดให้ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องยื่นข้อเสนอและเสนอราคาทางระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 20 ส.ค.2567 ที่ผ่านมานั้น
รฟท. กำหนดให้เอกชนที่ได้ยื่นข้อเสนอและเสนอราคาทางระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์แล้ว นำเอกสารส่วนที่เป็นข้อเสนอด้านเทคนิคเพิ่มเติมมอบให้กับ รฟท. ที่บริเวณห้องประชุมบุรฉัตร สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ปรากฏว่า มีผู้สนใจเข้ายื่นเอกสารทั้งสิ้น จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย
- บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
- บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)
- บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด
- กิจการร่วมค้า ช.ทวี – เอเอสก่อสร้าง
สำหรับขั้นตอนต่อไป รฟท. จะดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอ และข้อเสนอด้านเทคนิค เมื่อผ่านการพิจารณาแล้ว จะนำรายชื่อเสนอต่อคณะกรรมการ รฟท. เพื่อพิจารณาอนุมัติผลการพิจารณา และประกาศผลผู้ที่ชนะการประกวดราคาทางเว็ปไซต์ของ รฟท. www.railway.co.th ได้ประมาณเดือน ต.ค.2567จากนั้น รฟท. จะลงนามในสัญญาจ้างเอกชนกับผู้ชนะการประกวดราคา เพื่อดำเนินงานต่อไป
โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย เป็นโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 ซึ่ง รฟท. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2566 โดยเป็นการก่อสร้างทางรถไฟใหม่เพิ่ม 1 ทาง ขนานไปกับทางรถไฟเดิม รวมระยะทางประมาณ 167 กิโลเมตร ประกอบด้วย อาคารสถานีทั้งสิ้น 14 สถานี ที่หยุดรถจำนวน 4 แห่ง ชานบรรทุกสินค้า 4 แห่ง และชานบรรทุกทหาร 1 แห่ง พร้อมทั้งงานติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคมตลอดทั้งสายทาง งบประมาณในการก่อสร้าง จำนวน 28,719,940,000 บาท
โดยเส้นทางนี้เป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมต่อจากช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น ผ่าน จ.อุดรธานี และสิ้นสุดที่สถานีหนองคาย เพื่อเติมเต็มระบบรถไฟทางคู่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการขนส่งระบบรางทั้งการขนส่งสินค้า และโดยสาร ลดต้นทุนการขนส่งระบบโลจิสติกส์ ลดระยะเวลาในการเดินทางได้ 1–1.50 ชั่วโมง ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงลดและปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุบริเวณจุดตัดทางเสมอระดับรถไฟ-รถยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของนายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ให้การรถไฟฯ เร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ และรถไฟสายใหม่ทั่วประเทศให้แล้วเสร็จตาม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการขนส่งทางราง ให้เป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ และสามารถอำนวยความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน ตลอดเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าได้ทุกภูมิภาค ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ