“CAAT” ออกประกาศฉบับที่ 8 ยังคงห้ามบินโดรนในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดน และพื้นที่ความมั่นคง ถึงวันที่ 31 ต.ค.2568
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 8 เรื่อง “ห้ามบังคับหรือปล่อยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (Drone) ในพื้นที่ที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในช่วงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา” โดยยังคงห้ามบินโดรนในพื้นที่จังหวัดชายแดน และพื้นที่ความมั่นคง โดยยกเลิกคำสั่งห้ามบินในพื้นที่อำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี, อำเภอเมืองระยอง จ.ระยอง, อำเภอพยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และอำเภอเมืองราชบุรี จ.ราชบุรี มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2568 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
พื้นที่ที่ยังคงห้ามบินเด็ดขาด
- 5 จังหวัดชายแดนที่ประกาศกฎอัยการศึกหรือมีกองกำลังภาคพื้น ได้แก่ สระแก้ว บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี
- พื้นที่รัศมี 9 กิโลเมตร (5 ไมล์ทะเล) รอบสนามบินที่กำหนด
- พื้นที่ที่หน่วยงานด้านความมั่นคงประกาศเพิ่มเติมเป็นการเฉพาะ
โดยมีเงื่อนไขในการทำการบิน ดังนี้
- ผู้ใช้งานต้องขึ้นทะเบียนผู้บังคับโดรนและอากาศยานกับ CAAT ให้ถูกต้องครบถ้วน
- ยื่นคำขออนุญาตและแจ้งรายละเอียดพื้นที่ วันเวลา และวัตถุประสงค์การบินล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน ผ่านระบบ UAS Portal (uasportal.caat.or.th) และแจ้งต่อศูนย์บังคับและต่อต้านอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินฯ (ศบตอ.น.) อีเมล: antidrone.police@gmail.com
- สามารถบินได้ในเวลา 06.00–18.00 น. หากต้องการบินนอกช่วงเวลาดังกล่าว ต้องขออนุญาตจาก CAAT แต่ห้ามบินในช่วงเวลา 00.01–04.00 น. ทุกกรณี
- การปฏิบัติการบินที่แตกต่างจากเงื่อนไขที่กำหนด ต้องยื่นคำขออนุญาตเพิ่มเติมต่อ CAAT ผ่าน UAS Portal
สำหรับโดรนของราชการทหาร ตำรวจ ศุลกากร กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรฯ และสำนักข่าวกรองฯ สามารถปฏิบัติการได้ตามอำนาจหน้าที่ ทั้งนี้เฉพาะโดรนของศุลกากร กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงทรัพยากรฯ หากมีการบินในพื้นที่ห้ามบิน ต้องแจ้งข้อมูลต่อ CAAT ล่วงหน้าผ่านอีเมล uas_ur@caat.or.th และต่อ ศบตอ.น. รวมถึงหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ที่รับผิดชอบ
CAAT ระบุว่า การผ่อนคลายมาตรการในครั้งนี้เป็นผลจากการประเมินสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างใกล้ชิด ซึ่งพบว่าสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชามีแนวโน้มคลี่คลายลงในระดับที่สามารถเปิดให้มีการใช้งานโดรนของพลเรือนได้บางส่วน ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดที่รัดกุม ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถดำเนินกิจกรรมได้ใกล้เคียงภาวะปกติ โดยยังคงให้ความสำคัญสูงสุดต่อความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยของประชาชน และการกำกับดูแลการใช้เทคโนโลยีอากาศยานไร้นักบินอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน