Transport

ขนส่งฯ ชวนประชาชนใช้รถพลังงานไฟฟ้า แก้มลพิษทางอากาศ

กรมการขนส่งทางบก เชิญชวนประชาชนใช้รถพลังงานไฟฟ้า เพื่อประหยัดพลังงานแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ เผยสถิติยอดการจดทะเบียนรถพลังงานไฟฟ้าประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กว่า 70,000 คัน

วันนี้ (3 พ.ย.2566) นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และโฆษก ขบ. กล่าวว่า ตามที่ กรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการตามนโนบายรัฐบาล กระทรวงคมนาคม ในการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถพลังงานไฟฟ้าหรือรถ EV (Electric Vehicle) เพื่อเป็นการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ผ่านมาตรการลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เป็นรถใหม่สำเร็จรูปจากโรงงานและนำมาจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ซึ่งได้ผลตอบรับจากประชาชนในการดำเนินนโยบายดังกล่าวเป็นอย่างดี

โดยสถิติการจดทะเบียนรถพลังงานไฟฟ้า ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทั่วประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 (ระหว่างวันที่ 1 ต.ค. 2565 – 30 ก.ย. 2566) มีจำนวนทั้งสิ้น 73,341 คัน เมื่อเทียบกับจำนวนการจดทะเบียนฯในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 14,696 คัน โดยมีอัตราการจดทะเบียนฯ เพิ่มขึ้น จำนวน 58,645 คัน คิดเป็น 399.05%

สำหรับมาตรการลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เป็นรถใหม่สำเร็จรูปจากโรงงานและนำมาจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 10 พ.ย. 2568 โดยให้ลดภาษีลงร้อยละ 80 จากอัตราที่กำหนดตาม (11) ของอัตราภาษีประจำปีท้ายกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ดังนี้

รถเก๋งที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีน้ำหนัก 1,800 กิโลกรัม ปกติจัดเก็บภาษีประจำปี 1,600 บาท ลดภาษีประจำปีแล้ว คงเหลือ 320 บาท

รถตู้ส่วนบุคคลที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีน้ำหนัก 1,800 กิโลกรัม ปกติจัดเก็บภาษีประจำปี 800 บาท ลดภาษีประจำปีแล้ว คงเหลือ 160 บาท

ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ปกติจัดเก็บภาษีประจำปี 50 บาท ลดภาษีประจำปีแล้ว คงเหลือ 10 บาท เป็นต้น โดยเริ่มตั้งแต่วันที่รถนั้นจดทะเบียนเป็นระยะเวลา 1 ปี

กรมฯ ขอเชิญชวนประชาชนหันมาใช้รถพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นรถทางเลือกในการลดมลพิษทางอากาศเพราะด้วยเทคโนโลยีการขับเคลื่อนของมอเตอร์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงอย่างน้ำมัน 100% ทำให้ไม่มีการปล่อยไอเสียและการเผาไหม้ใดๆ ที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศได้ จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงประหยัดภาษีประจำปีให้กับเจ้าของรถได้อีกทางหนึ่ง

Loading

Back to top button