ระดมสมอง!! แนวทางส่งเสริมการขนส่งทางรถไฟ “ท่าเรือแหลมฉบัง”
กรมราง ร่วมการประชุมระดมสมอง “แนวทางการส่งเสริมการขนส่งทางรถไฟในท่าเรือแหลมฉบัง” เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางราง เผยปัจจุบันขนส่งทางรถไฟปริมาณ 472,000 TEU คาดอนาคตการขนส่งในเส้นทางปริมาณสูงถึง 2 ล้าน TEU ต่อปี
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2566 กรมการขนส่งทางราง (ขร.) เข้าร่วมการประชุมระดมสมอง เรื่อง “แนวทางการส่งเสริมการขนส่งทางรถไฟในท่าเรือแหลมฉบัง” ณ สำนักงานโครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟ (Single Rail Transfer Operator : SRTO) ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ซึ่งจัดโดยคณะอนุกรรมการโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โดยการประชุมระดมสมองในครั้งนี้ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้ ขร. ร่วมผลักดันแนวทางส่งเสริมการขนส่งทางรถไฟ พร้อมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาจราจรภายในแหลมฉบัง โดยขับเคลื่อนเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางรถไฟสู่ท่าเรือแหลมฉบังเป็น ร้อยละ 30 ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามกรอบนโยบายคมนาคม “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” ที่ต้องการสร้างความสุขให้กับประชาชนในทุกมิติ ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ มิติด้านความปลอดภัย มิติด้านการให้บริการที่เป็นมาตรฐานสากล และมิติด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ทางด้าน ขร. ได้รับดำเนินการตามนโยบายของนายสุรพงษ์ และร่วมเข้าประชุมระดมสมอง โดยมีนายอธิภู จิตรานุเคราะห์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง และนายทยากร จันทรางศุ ผู้อำนวยการกองมาตรฐานความปลอดภัยและบำรุง พร้อมเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางราง เข้าร่วมพร้อมหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
ปัจจุบันสัดส่วนการขนส่งทางรถไฟเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบัง มีปริมาณ 472,000 ทีอียู (TEU) คิดเป็นร้อยละ 5.4 โดยการขนส่งสินค้าทางรถไฟเข้าในท่าเรือแหลมฉบัง ร้อยละ 88 ขนส่งมาจากเส้นทาง ท่าเรือแหลมฉบัง-ICD ลาดกระบัง และร้อยละ 12 มาจากเส้นทางสายนอกทั้งรถไฟจากอีสานใต้ สายเหนือ และสายใต้ ซึ่งแนวทางส่งเสริมการขนส่งทางรถไฟที่หารือในการประชุมครั้งนี้ คาดว่าในอนาคตการขนส่งในเส้นทางจะมีปริมาณสูงได้ถึง 2 ล้าน TEU ต่อปี โดยจะเป็นการขนส่งจาก ICD ลาดกระบัง 7 แสน TEUต่อปี (ร้อยละ 35) และจากเส้นทางสายนอก 1.3 ล้าน TEU ต่อปี (ร้อยละ 65)
การเปรียบเทียบสัดส่วนการขนส่งสินค้าในเส้นทางระหว่างท่าเรือแหลมฉบัง-ICD ลาดกระบัง การขนส่งทางรางจะมีสัดส่วนสูงสุดที่ร้อยละ 20-30 โดยมีการขนส่งสินค้าทางถนนผ่านรถบรรทุกเฉลี่ย 9.3 แสนทีอียูต่อปี ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญที่ขับเคลื่อนให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าจากทางถนนมาสู่ทางรางเพิ่มขึ้น หากมีการส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าทางราง จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ลดต้นทุนการขนส่ง ลดปริมาณการจราจรบนถนน และลดมลพิษทางอากาศจากรถบรรทุก ซึ่งส่งผลให้ศักยภาพด้านโลจิสติกส์ของประเทศเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้กรมการขนส่งทางรางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีความเห็นร่วมกันตามแนวทางการส่งเสริมการขนส่งทางรถไฟในท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าทางราง โดยเร่งรัดการแก้ไขปัญหาคอขวดของการขนส่งสินค้าทางรางภายในพื้นที่ SRTO พร้อมเสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แก้ไขข้อบังคับและระเบียบการเดินรถ พ.ศ. 2549 ของ รฟท. ให้สามารถเดินรถได้หลายขบวนใน 1 ตอน ภายในพื้นที่ โดยยังคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพื่อลดเวลาการรอคอยการเดินรถ
อีกทั้ง รฟท. เร่งรัดการจัดหาหัวรถจักรและแคร่บรรทุกตู้สินค้าให้เพียงพอโดยเร็ว และมีแผนการดำเนินงานในระยะต่อไป โดยส่งเสริมการให้เอกชนร่วมให้บริการเดินรถขนส่งสินค้าทางราง พร้อมดำเนินการด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางราง การเพิ่มประสิทธิภาพของอุโมงค์ X-ray ตลอดจนกระบวนการตรวจปล่อยสินค้า พร้อมการปรับปรุงลงทุนระบบอาณัติสัญญาณให้อำนวยความสะดวกในการเดินรถไฟเข้าได้ทั้ง SRTO และท่าเทียบเรือ C พร้อมรองรับการขนส่งในท่าเทียบเรือระยะ 3 ตามแผนการเปิดให้บริการในอนาคต
กรมการขนส่งทางรางมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งสินค้าทางรางให้มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น พร้อมขับเคลื่อนการเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมยกระดับมาตรฐานการขนส่งสินค้าเพื่อรองรับการนำเข้า-ส่งออก ของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ