จับมือ!! ขับเคลื่อน Thailand MICE One Stop Service เพิ่มอำนวยความสะดวกนักเดินทางไมซ์
ทีเส็บ ขับเคลื่อน Thailand MICE One Stop Service จับมือ กต. ทอท. สตม. อำนวยความสะดวกนักเดินทางไมซ์ รับนโยบายรัฐบาล
วันนี้ (15 ก.ค.2567) ทีเส็บขับเคลื่อน Thailand MICE One Stop Service ศูนย์ประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกอุตสาหกรรมไมซ์ จับมือ 3 หน่วยงานพันธมิตร ทั้งกรมการกงสุล บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ร่วมดำเนินการอำนวยความสะดวกนักเดินทางไมซ์เข้าประเทศ สนองนโยบายรัฐบาลผลักดันไทยจุดหมายการจัดงานเชิงธุรกิจและเทศกาลนานาชาติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ระบุว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าและเทศกาลระดับโลก เพื่อสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทั้งให้อำนวยความสะดวกการเดินทางเข้าประเทศของนักเดินทางธุรกิจและผู้ร่วมงาน ทีเส็บในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเป็น National Bidder หรือผู้ยื่นประมูลสิทธิ์ในนามรัฐบาลไทย จึงพร้อมดำเนินการสนองนโยบายโดยใช้กลไกขับเคลื่อนที่ทีเส็บและหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนได้จัดตั้งขึ้น คือ Thailand MICE One Stop Service หรือศูนย์ประสานงานเพื่ออำนวยความสะดวกอุตสาหกรรมไมซ์
บทบาทหน้าที่ของ Thailand MICE One Stop Service คือ อำนวยความสะดวกให้กับการเดินทางเข้าเมืองของนักเดินทางไมซ์ต่างชาติ เพื่อลดทอนขั้นตอนและเวลาในกระบวนการสำคัญ อาทิ การขอวีซ่า การตรวจคนเข้าเมือง และการต้อนรับเมื่อมาถึงสนามบิน รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในการประสานงานเพื่อนำเข้าสินค้า วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือสำหรับนำมาใช้จัดงานในประเทศไทย
ส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน Thailand MICE One Stop Service คือ การบริการอำนวยความสะดวกในการเข้าเมืองให้กับแขกวีไอพีชาวต่างประเทศ ณ สนามบิน หรือ MICE Lane Service ที่ปัจจุบันมีให้บริการ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ทั้งนี้ ในปี 2566 มีงานที่ขอใช้บริการ MICE Lane จำนวน 211 งาน ให้บริการนักเดินทางไมซ์ 6,684 คน ส่วนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-มิถุนายน) มีงานที่ขอใช้บริการ MICE Lane รวมทั้งสิ้น 160 งาน ให้บริการนักเดินทางไมซ์ 9,701 คน
เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ทีเส็บกำลังขยายบริการ MICE Lane ไปยังสนามบินนานาชาติภูเก็ตและเชียงใหม่ ที่เป็นสองเมืองไมซ์สำคัญของไทย โดยในปีนี้ ได้เปิดให้บริการแบบชั่วคราว และกำลังจะเปิดดำเนินการถาวรในปีหน้า ส่วนในปี 2569 จะเปิดให้บริการ ณ สนามบินอุดรธานี เพื่อเตรียมรองรับจำนวนนักเดินทางที่จะมาร่วมงานมหกรรมพืชสวนโลก
การจับมือกับ 3 หน่วยงานพันธมิตรถือเป็นการเตรียมต้อนรับแขกวีไอพีที่จะเดินทางมาร่วมงานใหญ่อีกหลายรายการที่ทีเส็บมีส่วนร่วมดึงมาจัดในประเทศไทย ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เช่น งาน IDF World Diabetes Congress 2025 การจัดประชุม IMF-World Bank Group ในปี 2569 งาน Global Sustainable Tourism Conference หรือ GSTC 2026 ที่จะมีผู้เข้าร่วมนับหมื่นคน
นอกจากนี้ ยังมีงานใหญ่อีกหลายรายการที่ทีเส็บกำลังดำเนินการดึงมาจัดในประเทศไทยตามนโยบายรัฐบาล เช่น การจัดการแข่งขัน Formula E ณ จังหวัดเชียงใหม่ การจัดการแข่งขัน Formula One และงาน WorldPride 2030 เป็นต้น
นายวรวุฒิ พงษ์ประภาพันธ์ อธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กรมการกงสุลพร้อมอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าให้ผู้เข้าร่วมและผู้จัดงานไมซ์ โดยจะขยายการเปิดให้บริการระบบ e-Visa ให้ครบทุกสถานทูต สถานกงสุลไทยภายในปลายปี 2567 รวมทั้งกำหนดมาตรการและแนวทางการตรวจลงตราใหม่ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ ผมเชื่อมั่นว่ามาตรการต่าง ๆ ดังกล่าวจะสามารถรองรับและอำนวยความสะดวกให้นักเดินทางไมซ์ในการเข้าประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า ทอท. ในฐานะผู้บริหารท่าอากาศยานหลัก 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ถือเป็นประตูบานแรกที่ให้การต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลกเข้ามายังประเทศไทย พร้อมอำนวยความสะดวกและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนภารกิจในการต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์ รวมถึงการจัดงานในระดับนานาชาติ โดยการจัดสรรพื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสารตลอดจนการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ รวมถึงการประชาสัมพันธ์การจัดงานไมซ์ และร่วมส่งมอบประสบการณ์การเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ให้เติบโต เพื่อร่วมมือกันดึงดูดให้มีการเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นการนำเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ สร้างรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมต่อไป
พล.ต.ต. เชิงรณ ริมผดี ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 กล่าวว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล โดยมี 3 มาตรการหลัก คือ 1) มาตรการการยกเว้นวีซ่าและขยายระยะเวลาการพำนักตามนโยบายรัฐบาล โดยมีการกำหนดสัญชาติที่ได้รับยกเว้นวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยวหรือทำงาน/ติดต่อธุรกิจระยะสั้น 60 วัน โดยสามารถขออยู่ต่อได้อีก 30 วัน ซึ่งเป็นการประกาศให้ประเทศที่ได้รับสิทธิเดิม และเพิ่มประเทศที่ได้รับสิทธิใหม่ด้วย โดยจะประกาศใช้วันที่ 15 กรกฎาคม 2567 นี้ การให้สิทธิ Visa on Arrival (VOA) และเพิ่มการตรวจลงตราประเภทใหม่ Destination Thailand Visa (DTV) 2) มาตรการการคัดกรองโดยใช้เทคโนโลยี อำนวยความสะดวกภายใต้หลักความมั่นคง ได้แก่ ระบบคัดกรองล่วงหน้า APPS ที่สามารถตรวจสอบคัดกรองล่วงหน้าจากประเทศต้นทางว่าผู้โดยสารมีข้อมูลหมายจับหรือบุคคลเฝ้าระวัง และเป็นบุคคลต้องห้ามตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ หรือไม่ การพัฒนาช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติรองรับคนไทยและคนต่างชาติในกลุ่ม E-passport ในอนาคต เป็นต้น 3) มาตรการด้านการบริหารจัดการเพิ่มกำลังพลเต็มทุกช่องตรวจในช่วงเวลาที่ผู้โดยสารเดินทางหนาแน่น (peak hour) และการประสานงานร่วมกับทีเส็บเพื่อจัดช่องทางพิเศษเฉพาะกลุ่มนักเดินทางไมซ์
“การอำนวยความสะดวกการเข้าเมืองเกี่ยวข้องกับภารกิจของหลายหน่วยงาน ทีเส็บและ 3 หน่วยงานพันธมิตร ทั้งกรมการกงสุล บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 จึงร่วมมือประกาศความพร้อม และส่งสัญญาณให้ความมั่นใจกับตลาดต่างประเทศว่า ประเทศไทยมีการเตรียมความพร้อมรองรับงานไมซ์และนักเดินทางไมซ์และผลักดันให้การจัดงานในประเทศไทยไร้รอยต่อมากที่สุด” นายจิรุตถ์กล่าวทิ้งท้าย