Transport

“ไทย-จีน” อัปเดตเมกะโปรเจกต์ไฮสปีด เร่งสปีดสร้างให้เสร็จตามแผน กระชับความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี

“สุริยะ” เปิดงาน “GSTF 2024″ ร่วมหารือการพัฒนาด้านการขนส่งที่ยั่งยืนระหว่าง 2 ประเทศ “ไทย-จีน” อัปเดตเมกะโปรเจกต์ไฮสปีด เร่งสปีดสร้างให้เสร็จตามแผน กระชับความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี พร้อมเชิญชวนรัฐฯ จีนร่วมศึกษาการก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขง หวังเชื่อมด้านคมนาคมไร้รอยต่อข้ามประเทศ

วันนี้ (26 ก.ย.2567) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยในการเปิดงานประชุม Global Sustainable Transport Forum 2024 (GSTF 2024) ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวานนี้ (25 ก.ย.2567) ถึงเรื่องการพัฒนาด้านการขนส่งอย่างยั่งยืนว่า การพัฒนาการขนส่งอย่างยั่งยืน ถือเป็นประเด็นสำคัญในปัจจุบัน

เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศส่งผลให้หลายประเทศต้องประสบกับปัญหาภัยพิบัติต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไต้ฝุ่นยางิ ที่สร้างความเสียหายต่อมณฑลไห่หนานที่จีน ตลอดจนสถานการณ์น้ำท่วมทางตอนเหนือของไทย ซึ่งสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เป็นอย่างมาก รวมถึงปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อันเป็นปัญหาส่งผลกระทบต่อทุกประเทศอย่างไร้พรมแดน ทุกประเทศจึงควรตระหนักถึงความสำคัญของสภาพแวดล้อม เพื่อช่วยปกป้องทรัพยากรที่มีคุณค่า

ขณะเดียวกัน ในงานประชุมดังกล่าว ยังกล่าวถึงความร่วมมือในโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – ลาว – จีน ซึ่งทั้งฝ่ายไทยและจีน เห็นพ้องต้องกันว่า อยากให้โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – ลาว – จีนประสบผลสำเร็จ ซึ่งขณะนี้ รถไฟความเร็วสูงจากจีนตอนใต้ (คุนหมิง) ไปเวียงจันทน์ สปป. ลาว เปิดใช้งานมา 2 ปีแล้ว มีจำนวนผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากการเชื่อมต่อดังกล่าวสามารถเชื่อมต่อไปยังไทยได้จะเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ตนยังได้แจ้งให้ฝ่ายจีนทราบว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน ระยะที่ 1 ช่วง กรุงเทพฯ – นครราชสีมา มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 35% คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2571 และคาดว่าจะเริ่มโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย ในปี 2568 ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการเฉลิมฉลองครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ครบ 50 ปี อย่างไรก็ตาม ตนได้ขอให้รัฐบาลจีน พิจารณาให้ความช่วยเหลือการก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขง จาก สปป.ลาว มายังประเทศไทย เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์โดยเร็ว

ขณะที่เส้นทางการขนส่งสินค้าระบบรางทางจากเมืองโม่หาน ในจีน ผ่าน สปป.ลาว มายังอำเภอเชียงของ ภาคเหนือของไทย ขณะนี้มีส่วนที่ขาดหายใน สปป.ลาว ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร (กม.) และได้ขอให้รัฐบาลจีน พิจารณาก่อสร้างเส้นทางรถไฟทางคู่ในส่วนที่ขาดหายดังกล่าว เพื่อมาเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟทางคู่ของไทย ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เส้นทางเด่นชัย – เชียงของ คาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 4 ปีข้างหน้า โดยเส้นทางรถไฟสายนี้จะเป็นประโยชน์กับการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะจากจีนตอนใต้ออกสู่มหาสมุทรอินเดีย ที่ท่าเรือระนอง

นายสุริยะ กล่าวต่ออีกว่า ในด้านการคมนาคมของไทยมียุทธศาสตร์ในการพัฒนาระบบการขนส่งที่มุ่งเน้นความสะดวกสบาย (Efficiency) ทั่วถึง (Inclusivity) ปลอดภัย (safe) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green) ผ่านการพัฒนาทางด้านนวัตกรรมที่ทันสมัย ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีด้านพลังงานที่สะอาด เช่น พลังงานทางเลือก การปรับเปลี่ยนช่องทางการขนส่งหลักจากถนนสู่ราง และการขนส่งทางน้ำ ในส่วนเขตเมืองมีการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนไปแล้วกว่า 554 กม. และอยู่ระหว่างก่อสร้างรถไฟฟ้าระบบทางคู่ เพื่อใช้เป็นช่องทางหลักในการขนส่งสินค้าเพื่อลดการปล่อยมลภาวะ รวมถึงจะร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิดในการส่งเสริมให้มีการใช้เรือไฟฟ้าในการคมนาคมขนส่งทางน้ำ อีกทั้ง ในฐานะประเทศที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน กระทรวงคมนาคมมีนโยบายที่จะเชื่อมเส้นทางรถไฟของประเทศในภูมิภาคเข้าด้วยกัน

ด้าน นายเหอ หลี่เฟิง กล่าวว่า ตนมีความประทับใจที่มีรัฐมนตรีด้านการขนส่งจากหลายประเทศมาเข้าร่วมการประชุม GSTF 2024 ในครั้งนี้ พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาด้านการขนส่งอย่างยั่งยืน ตามแนวทางเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (2030) หรือ SDGs เพื่อรับมือกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และด้านสภาพอากาศ ซึ่งต้องอาศัยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อให้รับมือได้อย่างเท่าทันสภาวะโลก จีนในฐานะประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการคมนาคมขนส่งจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผ่านการส่งเสริมความร่วมมือด้านการขนส่งที่ยั่งยืนระดับโลก

โดยในการประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้จีน และประเทศเพื่อนบ้านให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการขนส่งที่ยั่งยืน โดยยึดหลักการตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ หรือ UN (2030) เป็นโอกาสสำคัญที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้แทนหน่วยงานด้านการคมนาคมขนส่งจากประเทศต่าง ๆ จะได้ร่วมกันผลักดันการพัฒนาด้านการขนส่งอย่างยั่งยืนอย่างจริงจัง ร่วมกันสร้างระบบการขนส่งชนบทที่เป็นธรรม ครอบคลุม และยั่งยืน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการเดินทางที่ปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับทุกคน

นอกจากนี้ ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งที่ขับเคลื่อนด้วย AI และสร้างเครื่องยนต์ใหม่สำหรับเศรษฐกิจระดับต่ำ (Low-altitude Economy) และเสริมสร้างความร่วมมือด้านการกำกับดูแลและการตอบสนอง ฉุกเฉิน รวมถึงการสร้างโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นระหว่างประเทศ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทางระบบนิเวศ ก่อเกิดการพัฒนาพลังงานใหม่ที่จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสีเขียวและคาร์บอนต่ำในภาคการขนส่งระดับโลก

ขณะที่ นายอาซิฟ อาลี ซาร์ดารี (Mr. Asif Ali Zardari) ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน และ Mr.  Bishnu Prasad Paudel รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล กล่าวว่า การพัฒนาด้านการขนส่งนั้นมีความสำคัญอย่างมาก ที่จะช่วยเหลือให้ประเทศกำลังพัฒนามีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และกระจายความเจริญสู่ชนบท การหารือในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานและการขนส่งในภูมิภาคให้มีความเชื่อมโยงระหว่างกัน และนำสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน

นายหลี่ จินหัว (Mr. li Junhua) ผู้ช่วยเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ กล่าวว่า ทุกประเทศได้พยายามผลักดันกันอย่างเต็มที่ในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานทางเลือก ภายหลังการประชุม Cop 29 (2024 United Nation Climate Change Conference หรือ Conference of the Parties of the UNFCCC) ซึ่งมีสาระสำคัญและเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 35% ในปี 2030 และ 40% ในปี 2040 จากภาคอุตสาหกรรมและการขนส่ง ซึ่งองค์การสหประชาชาติต้องการผลักดันให้ทั้งรัฐภาคี ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน ตระหนักถึงความสำคัญและมีส่วนร่วมอย่างจริงจังจึงจะเกิดผลสำเร็จ

Loading

Back to top button